Blogroll

About

Blogger templates

Blogger news

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิธีระงับกลิ่นปากง่ายๆ


วิธีระงับกลิ่นปากง่ายๆ
สาวคนไหนมีกลิ่นปาก มีหวังหนุ่มๆหนีหมดแน่ มาหาวิธีดับ
กลิ่นปากแบบง่ายๆ กันไม่ต้องกังวลไป ถ้าคุณตื่นเช้ามา
แล้วรู้สึกปากเหม็น เพราะปากแห้งจากการสูญเสียน้ำระหว่าง
นอน หรือนอนอ้าปาก (แล้วน้ำลายยืด) ทำให้แบคทีเรียเติบ
โตเร็วขึ้นได้ แค่แปรงฟันหรือเคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาล
เพื่อกระตุ้นการผลิตน้ำลายก็หายแล้ว
แต่กลิ่นปากระหว่างวัน ที่เกิดจากเศษอาหารเล็กๆ ซึ่งติด
ตามซอกฟัน จนทำให้เกิดแบคทีเรียในช่องปาก ต้องกำ
จัดให้สิ้นซาก ด้วยวิธีเหล่านี้
  ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน
  เวลาแปรงฟันอย่าลืมแปรงลิ้นด้วย ใช้ที่ขูดลิ้นหรือแปรง
สีฟันธรรมดาก็ได้
  หลังแปรงฟันตามด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีฤทธิ๋ฆ่าเชื้อแบคทีเรียซ้ำอีกที
  กินผักผลไม้กรอบๆ เช่น แอปเปิ้ล แครอท หรือขึ้นฉ่าย หลังอาหาร จะช่วยกวาดเศษอาหารและคราบหินปูนบนฟันได้
  สาวใดไม่กล้ากินกระเทียมที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลขั้นเทพ เพราะกลัวอานุภาพกลิ่นของมัน แค่เคี้ยวใบสเปียร์มิ้นต์ โรสแมรีหรือพาร์สลีย์ (ถ้าไม่มีก็เคี้ยวหมากฝรั่งที่มีส่วนผสมของใบเหล่านี้แทน) ประมาณ 30-60 วินาที ลมปากก็กลับมาหอมสดชื่นเหมือนเดิมแล้ว
  บางครั้งกลิ่นปากอาจเกิดจากอาการผิดปกติบางอย่างได้ เช่น กรดไหลย้อน หรือกระเพาะอาหารอักเสบ ก็อาจแก้ไขโดยกินอาหารมื้อเล็กลงแต่ถี่ขึ้น และยังไม่เข้านอนหลังกินอาหารอย่างน้อยสามชั่วโมง
ถ้าลองทำทุกอย่างแล้วกลิ่นปากเจ้ากรรมยังไม่หายไปจากชีวิต ก็ถึงเวลาที่ต้องปรึกษาทันตแพทย์แล้วล่ะ

วิธีง่ายๆดับกลิ่นเท้าเหม็น


วิธีง่ายๆดับกลิ่นเท้าเหม็น




วิธีง่ายๆดับกลิ่นเท้าเหม็น



วิธีง่ายๆดับกลิ่นเท้าเหม็น
กลิ่นเท้า ปัญหาอันดับแรกที่คุณผู้ชายมักเป็นกังวลใจ โดยเฉพาะคุณผู้ชายที่ใส่รองเท้าผ้าใบ ซึ่งกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์นั้นเกิดมาจากเหงื่อที่เท้าผสมกับแบคทีเรีย  ซึ่งเท้ามีต่อมเหงื่ออยู่มาก จึงไม่แปลกอะไรที่เท้าจะทีกลิ่น แต่กลิ่นนี้แหละที่เป็นปัญหา เพราะทำให้คุณผู้ชายหลายคนขาดความมั่นใจ ไม่กล้าแม้แต่จะถอดรองเท้าในที่สาธารณะ เพราะกลัวกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จะเล็ดลอดออกมาไปเตะจมูกคนอื่นๆ เราจึงขอแนะนำวิธีการในการดูแล รักษากลิ่นเท้าให้หมดไป เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคุณหนุ่มๆ อีกครั้ง
วิธีง่ายๆ ดับกลิ่นเท้า เหม็น
1. ทุกครั้งหลังอาบน้ำให้โรยแป้งฝุ่นให้ทั่ว เพื่อให้เท้าแห้งไม่อับชื้น อีกวิธีหนึ่งก็คือนำถุงน้ำชาที่ชงแล้วสัก 4 - 5 ถุงมาแช่ใส่อ่างน้ำอุ่น แล้วแช่เท้าลงไปในน้ำอุ่นประมาณ 5 นาที ทำเช่นนี้อาทิตย์ละ 2 ครั้งเท้าจะไม่มีกลิ่นเพราะถุงชาจะช่วยเปลี่ยนความเป็นกรดด่างและยังช่วยหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุของความอับชื้นและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์นั่นเอง
2. ปล่อยเท้าให้เปลือยเปล่าบ้าง เพราะการปล่อยเท้าให้เปลือยเปล่าบ้างนั้น คือ วิธีที่ง่ายดายที่สุดที่จะทำให้ผิวเท้านวลเนียน อีกทั้งอากาศยังถ่ายเทได้สะดวกไม่อับชื้น
 
3. เพราะการสวมถุงเท้า- รองเท้าทุกๆ วัน วันละหลายชั่วโมงนั้นค่อนข้างทำร้ายเท้าให้อับและต้องทนหมักเซลล์ผิวที่ตายแล้วเอาไว้ถึง 200 มิลลิกรัมในแต่ละวัน และนี่เองที่ทำให้เท้าของคุณหยาบไม่นุ่มสดใสเหมือนแขนหรือลำตัว ดังนั้นควรเปลือยเท้าสบายๆ และชโลมโลชั่นบำรุงผิวให้เท้าของคุณชุ่มชื้น เรียบเนียนด้วย

4. ดูแลเท้าหยาบ- แตก ถนอมเท้าให้นุ่มนวลน่าสัมผัสและผ่อนคลายความเมื่อยขบจากการใช้งานหนักด้วยการแช่เท้าในน้ำอุ่น ๆ ผสมน้ำมันยูคาลิปตัสและเกลือทะเลแช่นานสัก 10 นาที จากนั้นเช็ดซับให้แห้ง ใช้วาสลีนธรรมดา ๆ (ปิโตรเลียมเจลลี่) ชโลมลูบให้ทั่ว ๆ ทั้งส้นเท้าและหลังเท้าและหาถุงเท้าบาง ๆ มาสวมไว้สัก 30 นาทีจึงค่อยถอดถุงเท้าออก วาสลีนที่ซึมสู่ผิวจะช่วยถนอมดูแลให้เท้าของคุณมีความนุ่มนวลไม่แตกไม่หยาบกร้านและยังเรียบเนียนดีอีกด้วย
 
5. เอารองเท้าไปตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรค ถุงเท้าควรเป็นผ้าฝ้ายจะได้ถ่ายเทอากาศได้ดี และเมื่อสวมใส่ควรเช็ดเท้าให้แห้งก่อนหรือฉีดสเปรย์ระงับกลิ่น

วิธีรักษาสิวอุดตัน


วันนี้ทางทีมงานมีวิธีรักษาสิวอุดตันอย่างถูกวิธีมานำเสนอน่ะครับ อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสิวอย่างใกล้ชิดด้วยน่ะครับ เพราะผิวแต่ละคนจะตอบสนองต่อวิธีการรักษา และยารักษาสิวต่างๆ ได้ไม่เหมือนกัน

1. ครีมทาสิวอุดตัน กลุ่ม Tretinoin( Retin-A) เป็นยาที่เหมาะสมและใช้กันแพร่หลาย มีความเข้มข้นแตกต่างกัน ตั้งแต่ 0.025-0.1 % อาจอยู่ในรูปของครีม เจล หรือน้ำ โดยพบว่ายิ่งความเข้มข้นสูง ยิ่งละลายสิวอุดตันได้ดี แต่ก็จะระคายเคืองผิวหน้า และทำให้ผิวหน้าแห้งเป็นขุย ถ้าความเข้มข้นสูง แต่การละลายเคืองอาจน้อยลง ถ้าล้างหน้าก่อนทายา 10-15 นาที 

2. ยารับประทานกลุ่ม retinoids เช่น Roaccutane,Isotretionoin ช่วยลดปัญหาผิวมัน และละลายสิวอุดตันได้ดี ทั้งที่ใบหน้าและสิวตามลำตัว 

3. ยาลอกขุย (Keratolytic agents) และยาทำให้ผิวแห้ง เช่น Salicylic acid ,Resorcinol,Sulphur,Aluminium oxide มักช่วยลอกขุย และทำให้สิวแห้งและหลุดออก มักใช้เป็นส่วนผสมของแป้งน้ำทาสิว( acne lotions) 

4. การกดสิวอุดตัน มักจะทำได้เฉพาะกลุ่มสิวอุดตันหัวเปิด (สิวหัวดำ) เพราะจะหลุดออกได้ง่าย และควรทำโดยผู้ที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นภายหลัง 

5. การทำ Peeling ด้วย 30-50% TCA,PHA จะช่วยทำให้ผิวหน้าแห้งลง ผนังสิวบางลง ทำให้สิวอุดตันฝ่อตัว และหลุดออกได้ง่าย

6. การทำ Iontophresis มักใช้ร่วมกับยากลุ่ม Tretionoin เพื่อช่วยผลักยาให้ซึมลงลึกไปละลายสิวอุดตันได้ดีกว่า การทายาปกติ 

7. การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี ( Microdermabrasion) พบว่าทำให้หัวสิวอุดตันหลุดออกได้ง่าย ทำให้หัวสิวเปิดออกเพื่อกดออกภายหลังได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ผิวหน้าแห้งลง และสีผิวขาวขึ้น เรียบเนียนขึ้นได้ด้วย 

หวังว่าแนวทางในการรักษาสิวอุดตันนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังประสบปัญหาเรื่องสิวอุดตันอยู่บ้างน่ะครับ ขอให้หายไวๆ น่ะครับทุกคน

มะเขือเทศรักษาสิว


วิธีรักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติที่จะมาแนะนำในวันนี้คือการใช้มะเขือเทศรักษาสิว ซึ่งมะเขือเทศเป็นสิ่งที่สามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป การรักษาสิวด้วยมะเขือเทศสามารถทำเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน ไม่เป็นอันตรายเนื่องจากใช้วัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติล้วนๆ เหตุผลที่คิดว่ามะเขือเทศสามารถช่วยรักษาสิวได้ก็คือ ในมะเขือเทศนั้นจะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่ นอกจากนั้นมะเขือเทศยังอุดมไปด้วยวิตามิน ซี และวิตามัน เอ รวมไปถึงมะเขือเทศจะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ทำให้สามารถช่วยรักษาสิวได้

มะเขือเทศรักษาสิว
มะเขือเทศรักษาสิว
สำหรับสูตรมะเขือเทศรักษาสิวที่นำมาแนะนำในวันนี้สามารถทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้

1. บดมะเขือเทศ 1 ลูกให้ละเอียด จากนั้นนำมะเขือเทศที่ได้มาพอกหน้า ทั้งบริเวณที่มีสิวและไม่มีสิว จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ  1 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น จากนั้นเช็ดหน้าให้แห้ง ทำต่อเนื่องกันประมาณ 1 สัปดาห์ จะช่วยแก้สิวได้

2. สูตรมะเขือเทศกระชับรูขุมขน สามารถทำได้ง่ายๆ คือ นำน้ำมะเขือเทศประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำมะนาวประมาณ 2-4 หยด จากนั้นใช้ สำลีก้อนชุบส่วนผสมดังกล่าวแล้วทาและขัดให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

3. สูตรมาร์คหน้าด้วยมะเขือเทศและอาโวกาโด้ ทำความสะอาดผิวหน้าง่ายๆ ด้วยการบดมะเขือเทศกับอาโวกาโด้ให้เข้ากัน จากนั้นนำไปทาให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น หรือ น้ำเย็นก็ได้ เช็ดหน้าให้แห้ง เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

4. ลดความมันของใบหน้าโดยการผ่ามะเขือเทศครึ่งลูก จากนั้นนำมะเขือเทศสดๆ ทาให้ทั่วหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่เกิดสิว หรือบริเวณที่หน้ามันๆ จากนั้นล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น และเช็ดหน้าให้แห้ง

5. สูตรรักษาสิวด้วยมะเขือเทศและแตงกวา นำแตงกวามา 1 ลูก จากนั้น นำไปหั่นบางๆ และสับให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำแตงกวาแล้วกรองแยกใส่ชามเอาไว้ จากนั้นนำมะเขือเทศมา 1 ลูกหั่นให้ละเอียด แล้วคั้นเอาแต่น้ำเช่นกัน นำน้ำแตงกวาและน้ำมะเขือเทศมาผสมให้เข้ากัน จากนั้นใช้สำลีก้อนชุบทาและขัดให้ทั่วบริเวณผิวหน้า แล้วล้างออก เช็ดหน้าให้แห้ง

6. สูตรมาร์คหน้าด้วยมะเขือเทศและโยเกิร์ต หั่นมะเขือเทศมาครึ่งลูก จากนั้นสับให้ละเอียด แล้วนำไปผสมกับโยเกิร์ตประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ทาให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น

สูตรมะเขือเทศรักษาสิวตามรายละเอียดด้านบน ถ้าใครสนใจก็ลองนำไปทำดู ถ้าได้ผลหรือไม่ได้ผลยังไง ช่วยกลับมาแนะนำหรือแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ด้วยน่ะ หากชอบ Blog นี้ จะขอให้ช่วยกด like กด share ให้ด้วยน่ะ ทีมงานจะได้มีน้ำใจหาข้อมูลดีๆ มาฝาก

ส่วนการรักษาสิวธรรมชาติ นอกจากมะเขือเทศที่สามารถช่วยรักษาสิวได้แล้ว ยังมีพืชสมุนไพรตัวอื่นๆ ที่สามารถนำมาแก้สิว ลดสิวได้ เช่น กระเทียมรักษาสิว ที่เราพูดถึงเมื่อโพสที่แล้ว หอมแดงรักษาสิวก็เป็นอีกทางเลือกนึง ขมิ้นรักษาสิว และแตงกวารักษาสิวเป็นต้น

สูตรลดความอ้วน ลดน้ำหนัก 6 สูตรสำเร็จ


สูตรลดความอ้วน ลดน้ำหนัก 6 สูตรสำเร็จ

วันนี้ขอแนะนำสูตรหรือโปรแกรมลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ด้วยตัวเอง มีทั้งหมด 6 สูตรด้วยกัน เลือกนำสูตรลดน้ำหนักนี้ไปใช้ได้เลย โดยทุกสูตรลดความอ้วนด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายนี้สามารถลดน้ำหนัก ลดหุ่น ลดพุง ได้จริง เห็นผลตั้งแต่ 2 สัปดาห์ถึงหนึ่งเดือน เลือกทำตามสูตรใดก็ได้ ที่สำคัญคือความมุ่งมั่นและอดทนของตัวเราเอง ความสม่ำเสมอในการควบคุมอาหารเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เรามาดูแต่ละสูตรกันดีกว่า

สูตรลดน้ำหนัก


สูตรลดน้ำหนัก 6 สูตร

สูตรที่ 1 ลด 7-8 กิโลกรัมใน 2 สัปดาห์ 

1. มื้อเช้า กินไข่ต้ม 1 ฟอง กินได้ทั้งไข่แดงและไข่ขาว หรือทานโยเกิร์ต 1 ถ้วย แทน
2. มื้อกลางวัน กินสลัดผัก 1 จาน ถ้าไม่ชอบสลัดให้ทานส้มตำ 1 จาน (ไม่หวาน) แทน
3. มื้อเย็น กินแอปเปิ้ล 1 ผล หรือแฮมนึ่ง 1-2 แผ่น แทนได้
4. งดอาหารหลัง 6 โมงเย็น ถ้าหิวให้ดื่มน้ำมากๆ แทน 
5. เต้นแอโรบิก 60 นาที อย่างน้อย 4 ครั้งต่อสัปดาห์ 

สูตรที่ 2 ลด 3-5 กิโลกรัมใน 2 สัปดาห์ 

1. กินอาหารวันละ 700-800 แคลอรี่
2. กินสลัดผัก หรือผลไม้ 2 ผลหรือกินไข่ต้ม 1 ฟองเป็นมื้อเย็น 
3. งดอาหารหลัง1 ทุ่ม ถ้าหิว ให้กินผลไม้ 1 ผลหรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย 
4. ว่ายน้ำอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ 
5. เต้นแอโรบิก 40-60 นาทีทุกวัน 

สูตรที่ 3 ลดน้ำหนัก 5-7 กิโลกรัม ได้ผลใน 3 สัปดาห์ 

1. มื้อเช้ากินโยเกิร์ต 1 ถ้วย (โยเกิร์ตจะช่วยเรื่องการขับถ่าย ให้พลังงานน้อย และดีต่อสุขภาพ)
2. มื้อกลางวันกินก๋วยเตี๋ยวน้ำ 1 ชามเท่านั้น 
3. มื้อเย็นกินผักจิ้มน้ำพริก ทานข้าวนิดหน่อย งดข้าวได้ยิ่งดี ถ้าหิวหลังจาก 1 ทุ่มให้กินผลไม้ได้ 1 ผล (แต่ไม่ใช่กินทุเรียน มะม่วง หรือผลไม้ที่หวานมาก) ควรเป็นแอบเปิ้ลหรือส้ม
4. เปิดเพลง เต้นรำในจังหวะเร็วๆ 60 นาที วันเว้นวัน หรือวิ่งจ็อกกิ้ง 45 นาทีแทน
5. ว่ายน้ำ 60 นาที 2 ครั้งต่อสัปดาห์ 

สูตรที่ 4 ลด 3-5 กิโลกรัมใน 4 สัปดาห์ 

1. กินอาหารไม่เกินวันละ 1000 แคลอรี่ ตัวอย่างปริมาณแคลอรี่ในอาหารเช่น
  • นมไขมันต่ำ 1 ถ้วย ให้พลังงาน 240-250 แคลอรี 
  • โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย ให้พลังงาน 125 แคลอรี 
  • โยเกิร์ต 1 ถ้วย ให้พลังงาน 140-150 แคลอรี 
  • เนย 50 กรัม ให้พลังงาน 300 แคลอรี 
  • ไข่ต้ม 1 ฟอง ให้พลังงาน 80 แคลอรี 
  • ไข่เจียว 2 ฟอง ให้พลังงาน 90-100 แคลอรี
2. งดของทอดๆ ที่ใช้น้ำมันปริมาณมากๆ 
3. ของหวานกินได้สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น 
4. ว่ายน้ำ 1 ชั่วโมงเต็ม สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
5. เต้นแอโรบิก 40-60 นาที วันเว้นวัน 

สูตรที่ 5 ลด 6-8 กิโลกรัมใน 1 เดือน 

1. กินไข่ต้ม 1 ฟองหรือน้ำเต้าหู้ 1 ถ้วยเป็นมื้อเช้าเท่านั้น 
2. มื้อกลางวันกินอาหารได้ 1 จาน แต่มื้อเย้นกินแค่แอปเปิ้ลเขียว 1 ผลหรือสลัดผัก 1 จานเล็กๆ เท่านั้น 
3. งดอาหารหลัง 1 ทุ่มตรง ถ้าหิวให้กินโยเกิร์ต 1 ถ้วย 
4. กระโดดเชือก 60 นาที 2 ครั้งต่อสัปดาห์ 
5. เต้นแอโรบิก 60 นาที 4 ครั้งต่อสัปดาห์ 

สูตรที่ 6 ลด 9-10 กิโลกรัมใน 1 เดือน 

1. กินผักผลไม้หรืออาหารนึ่งๆ ต้มๆ เป็นมื้อเช้าและมื้อเย็น 
2. กินก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้ม หรือส้มตำเป็นอาหารกลางวัน 
3. งดอาหารหลัง 1 ทุ่ม ถ้าหิวให้กินส้มได้ 1 ผล 
4. เต้นรำด้วยเพลงเร็วๆ 60 นาที 4 ครั้งต่อสัปดาห์ 
5. ตีแบตมินตัน 60 นาที หรือวิ่งจ็อกกิ้ง 60 นาที 2 ครั้งต่อสัปดาห์ 

ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์วิทยาลัยพยาบาล นครลำปาง และรูปจากอินเตอร์เน็ต

นั่งเก้าอี้อย่างไรไม่ปวดหลัง

นั่งเก้าอี้อย่างไรไม่ปวดหลังPDFPrintE-mail
Written by Administrator   
Thursday, 31 May 2012 15:23

รูปภาพเก้าอี้ไม้สองตัว

วัยเรียนที่ต้องนั่งเก้าอี้ทบทวนหนังสือ หาข้อมูล ทำการบ้าน หรือ พิมพ์รายงานผ่านคอมพิวเตอร์นาน ๆ หลายคนมักรู้สึกปวดเมื่อยบริเวณเอวหลัง และต้นคอ สร้างความหงุดหงิดใจให้บ่อยครั้ง รู้หรือไม่? ปัญหาดังกล่าวอาจเกิดจาก “การนั่งเก้าอี้ที่ไม่ถูกต้อง”

วิธีบรรเทาทำได้ เพียงพิจารณาเบาะเก้าอี้ ควรมีขนาดพอดี นั่งแล้วไม่อึดอัด หากเบาะใหญ่เกินไปควรหาหมอนมาหนุนหลัง จากนั้น นั่งให้เต็มก้น หลังพิงพนักช่วยลดอาการปวดคอ คอเกร็ง ส่วนเท้าวางราบสัมผัสพื้น

สำหรับที่พักแขน ตรวจดูความแข็งแรงให้เหมาะสมสำหรับค้ำยันตัวขณะลุก และอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เกะกะเวลาพิมพ์งาน นอกจากนี้ข้อศอกควรวางอยู่ระดับเดียวกับพื้นโต๊ะ ป้องกันช่วงไหล่เกิดอาการเกร็ง

กรณีโต๊ะต่ำกว่าเก้าอี้ เมื่ออ่านหนังสือควรหาอุปกรณ์มาเสริมให้หนังสือวางสูงระดับหน้าอก ป้องกันกล้ามเนื้อคอทำงานหนักจนเกิดอาการตึงและส่งผลให้ปวดหลัง อันเกิดจากการก้มโน้มตัวอ่านหนังสือมากเกินไป

ทั้งนี้ ควรเปลี่ยนอิริยาบถทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง เพื่อยืดเส้นยืดสายให้เส้นเอ็นคลายตัว แต่เลี่ยงการก้ม หรือ เอี่ยวหลังแรง ๆ เพราะจะทำให้เจ็บกล้ามเนื้อได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.teenpath.net      
ภาพประกอบจาก : http://www.dididado.org/sun-sit/

ยาหมดอายุ...โปรดดูก่อนใช้

ยาหมดอายุ...โปรดดูก่อนใช้PDFPrintE-mail
Written by Administrator   
Thursday, 31 May 2012 15:10

ยาหมดอายุ...โปรดดูก่อนใช้


รูปยา

โดย: รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์
อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

"ยามีคุณอนันต์ แต่ก็มีโทษมหันต์" แม้จะเห็นด้วยกับภาษิตที่ว่า การประหยัดเป็นคุณสมบัติที่ดีของคนไทย ฯลฯ แต่มีบางเรื่องที่การประหยัดกลับไม่คุ้มค่า ถึงขนาดอาจต้องแลกด้วยชีวิต! 
โดยเฉพาะบรรดายาเก่าเก็บ หรือยาหมดอายุ ขืนยังไม่รีบทิ้ง ไม่ใช่เพียงประสิทธิภาพของยาจะลดลงเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป แต่มันอาจกลายเป็นอันตรายได้อย่างไม่คาดคิดแม้แต่ยาที่แพทย์สั่ง ก็ควรกินตามคำแนะนำของแพทย์ครับ นั่นคือห้ามกินเกินกว่าวันที่และไม่ต้องเก็บสะสมไว้หรอกครับ ที่เหลือให้ทิ้งได้เลย

ในบรรดายาทั้งหลายนั้น โดยมากจะระบุทั้งวันที่ผลิต และวันหมดอายุไว้บนฉลากหรือซองยาอย่างชัดเจน ซึ่งมักจะเป็นภาษาอังกฤษ โดยวันที่ผลิตจะเขียนว่า "Manu. Date" หรือ "Mfg. Date" ตามด้วยวัน-เดือน-ปี ของวันผลิต

ส่วนวันหมดอายุ จะเขียนว่า "Expiry Date" หรือ "Exp. Date" หรือ "Used before" หรือ Expiring หรือ Use by ตามด้วยวัน-เดือน-ปี ของวันหมดอายุ ตัวอย่างเช่น Exp.date 30/07/11 หมายความว่า ยาจะหมดอายุในวันที่ 30 เดือนกรกฎาคม ปี 2011

หากมีการระบุไว้เพียงวันผลิต แต่ไม่ได้ระบุวันหมดอายุ โดยทั่ว ๆ เราถือว่า ถ้าเป็นยาน้ำที่ยังไม่ได้เปิดใช้จะเก็บไว้ได้ 3 ปีนับจากวันผลิตหากเปิดใช้แล้วขึ้นกับว่าดูแลการปนเปื้อนได้ดีหรือไม่ เช่น ยาแก้ไอ แต่ใช้ปากจิบจากขวดยา (ห้ามทำนะครับ เพราะจะไม่รู้ขนาดที่กินเข้าไปชัดเจน) ก็จะปนเปื้อนและเสียได้ในเวลาสองสามวัน หากเทใส่ช้อนกิน ไม่ปนเปื้อน ปิดฝาอย่างดี เก็บไว้ในตู้เย็นสัก 3 เดือนก็เคลียร์ทิ้งกันสักรอบก็จะดีครับ ส่วนยาเม็ดเก็บไว้รักษาได้ 5 ปี นับจากวันผลิตครับ

ยาหมดอายุแล้วให้ทิ้งไปได้เลย ไม่ต้องเก็บสะสมไว้หรอกครับ เพราะยาที่หมดอายุนั้นไม่เพียงกินแล้วไม่ได้ผลในการรักษา แต่อาจเกิดภัยตามมาอย่างคาดไม่ถึง เช่น ยาหมดอายุบางตัวทำให้กระเพาะอาหารระคายเคือง จนอาจกลายเป็นโรคกระเพาะ หรือแทนที่จะระงับโรคกลับทำให้โรคลุกลาม ตัวยาบางชนิดเมื่อเสื่อมอาจก่อโทษภัยแก่ร่างกาย ถึงกับทำให้ไตวายและไตอักเสบได้ครับ
รูปขวดยา

ดูอย่างไร จึงรู้ว่า...ยาเสี่อม

1. ยาเม็ดแคปซูล แคปซูลมักจะบวมโป่ง ภายในแคปซูลจะสังเกตเห็นว่าผงยาเปลี่ยนสี อาจมีเชื้อราขึ้นที่เปลือกแคปซูล จับกันเป็นก้อน แถมมีสีที่เปลี่ยนไป ซึ่งต้องระวังให้มากครับ เพราะยาหมดอายุบางอย่างหากกินเข้าไปอาจเป็นอันตรายต่อไต เช่น ยาเตตราซัยคลิน ถ้าผงยาเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีน้ำตาล ให้ทิ้งทันที เพราะนั่นหมายถึงมันได้เสื่อมสภาพแล้ว

2. ยาเม็ด เมื่อหมดอายุก็มักมีสีเปลี่ยนไป ซีดจางลง แตกกร่อน เป็นผงง่าย เอามือจับรู้สึกเม็ดยานิ่ม ๆ บีบเบา ๆ ก็แตกแล้ว

3. ยาเม็ดที่เป็นแบบเคลือบน้ำตาล (เช่น วิตามินรวม) เม็ดยามักดูเยิ้มเหนียว มีกลิ่นหืน ๆ บูด ๆ

4. ยาน้ำแขวนตะกอน เช่น ยาคล้ายแป้งน้ำใช้ทาแก้คัน ยาลดกรด ถ้าเสื่อมก็จะตกตะกอน จับกันเป็นก้อน เกาะติดกันแน่น เขย่ายังไงก็ไม่กระจายตัว ทั้ง กลิ่น สี หรือรสก็เปลี่ยนไปจากเดิม

แต่ยาแก้อักเสบบางชนิดที่เป็นผงต้องเติมน้ำและเขย่าก่อนกินนั้น หากเติมน้ำเข้าไปในขวดเลยบางครั้งก็เขย่ายากมาก ไม่ยอมละลาย ก่อนเติมน้ำต้องเขย่าขวดให้ผงยากระจาย ไม่เกาะติดก้นขวดก่อนเติมน้ำ และเขย่าอีกครั้ง อย่างนี้ไม่ใช่เสียนะครับ แต่เขย่าผิดวิธี
5. ยาน้ำเชื่อม จะกลายเป็นสีขุ่น ๆ ตกตะกอน เห็นเป็นผง ๆ ไม่ละลาย หรือเห็นเป็นน้ำคนละสีลอยปะปนเป็นเส้น ๆ อยู่ และอาจมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว

6. ยาขี้ผึ้งและครีม ถ้าเสื่อมก็จะพบว่าเนื้อยาแข็ง เนื้อยาแห้งแข็ง หรือสีเปลี่ยนไปจากเดิม

7. ยาหยอดตา หลาย ๆ ท่านอาจไม่ทราบว่ายาหยอดตามีอายุจำกัดนะครับ จึงนำมาหยอดตาทั้ง ๆ ที่เก่าเก็บเป็นปี หรือบางครั้งหลอดเล็ก ๆ ตัวหนังสือเล็ก ๆ วันเดือนปีเลือนหายไป การหยอดใกล้ตาอาจเกิดการปนเปื้อนจากขี้ตา หรือจากมือผู้ใช้ได้ง่าย ทางที่ดีอย่าเก็บนานครับ สัก 1 เดือนในตู้เย็น หากไม่ได้ใช้ก็เคลียร์ทิ้งได้แล้วครับ

8. ยาบางอย่างที่ต้องเก็บในตู้เย็น มียาบางอย่างเท่านั้นที่จำเป็นต้องเก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อกันการเสื่อม เช่น ยาพวกวัคซีนที่ใช้ฉีด พบเห็นคลินิกไหน เอาวัคซีนมาจากตู้ยามาฉีดโดยไม่ได้เก็บไว้ในตู้เย็น ก็ต้องทักท้วงและทวงถามกันหน่อยครับ

9. ยาเม็ดมากมายที่ใส่แผง (กระดาษฟรอยด์) ซึ่งกันทั้งความชื้นและกันการเสื่อมสภาพเร็ว จึงควรจะแกะยาต่อเมื่อถึงเวลาต้องกินแล้วเท่านั้น หากแกะออกมารวม ๆ กันในขวดอาจเสื่อม หมดอายุก่อนวันเวลากำหนด

10. ยาที่ได้จากโรงพยาบาลใส่ถุงซิปมาให้ ไม่มีวันหมดอายุ ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ 5 ปีนะครับ แต่วันหมดอายุอยู่ที่กระป๋องยา โรงพยาบาล คลินิกมักจะไม่ได้เขียนไว้ในซองยาให้ ดังนั้น หากเป็นยาเม็ดที่เหลือค้างไว้ที่บ้าน อย่าเก็บไว้เกิน 1 ปีเลยครับ หากเป็นยาน้ำที่ไม่ใช่ยาแก้อักเสบ สัก 3 เดือนก็เคลียร์กันสักครั้งจะดีกว่าครับ

รูปนมและขวดนม
าหารกระป๋อง นม หมดอายุ
นอกจากยาแล้ว อาหารหลายอย่างโดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป นม มักมีอายุการเก็บ รวมทั้งวิธีการเก็บที่ถูกต้อง หากเก็บผิดวิธีอาจเสียก่อนหมดอายุ
หากกินอาหารหรือนมที่เสียแล้วหรือหมดอายุแล้ว อาจก่อให้เกิดภาวะอาหารเป็นพิษ โดยมีสาเหตุมาจากแบคทีเรียในอาหาร นม รวมทั้งสภาพทางชีวเคมีของอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป

การปฐมพยาบาล เมื่อกินยา หรือกินอาหารหมดอายุ

อย่าตกใจเกินเหตุนะครับ หากกินยาหมดอายุไม่ต้องล้วงคอ ไม่ต้องดื่มนม แต่อาจดื่มน้ำตามไปก่อนครับ และเก็บฉลากให้รู้ชนิดยาที่กิน จำนวนที่กินเข้าไป สังเกตลักษณะที่ผิดปกติ เช่น สีที่เปลี่ยน กลิ่นที่ผิดปกติ และโทรถามศูนย์พิษวิทยา รพ.รามาธิบดี หมายเลข 0 2201 1083 ซึ่งศูนย์พิษนี้จะเปิด 24 ชั่วโมง มีนักเภสัชวิทยาคอยให้คำแนะนำ บอกวิธีการปฐมพยาบาล และความจำเป็นที่จะต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาลหรือไม่

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.momypedia.com

7 เคล็ดลับ กินอย่างไรไม่ให้อ้วน

7 เคล็ดลับ กินอย่างไรไม่ให้อ้วนPDFPrintE-mail
Written by Administrator   
Thursday, 31 May 2012 14:35
รูปผู้หญิงถือจานผักและผลไม้
ในยุคที่กระแสคนรักสุขภาพกำลังได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก รวมทั้งคนไทย การกินเพื่อสุขภาพคือสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องให้ความใส่ใจเพราะการกินไม่ใช่แค่การสนองความต้องการหรือให้อิ่มท้องเท่านั้น หากแต่ยังต้องคำนึงถึงผลที่มีต่อสุขภาพด้วย
อ.กัญชลี ทิมาภรณ์ นักโภชนาการโรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า อาหารและสุขภาพเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน การเกิดโรคบางชนิดก็มีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม หลายคนเคยหลงรูป รส หรือความสะดวกรวดเร็วของอาหารที่แฝงไปด้วยพิษภัยอย่างเงียบๆ เช่น ฟาสต์ฟูด อาหารสำเร็จรูป เบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลมฯลฯ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินที่ผิดและตกยุค

ทั้งนี้ ปัจจุบันคนทั่วโลกต่างให้ความสนใจและหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น จนเกิดกระแสรักสุขภาพและการกินเพื่อสุขภาพตามมา ดังนั้น จึงขอแนะนำ 7 เคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพเพื่อให้นำไปใช้กัน
1.ทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดและควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น

2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น

3.เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารและทานเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบ ที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากทานขนมอาจหันมาทานขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น
5.กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น

6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักผลไม้ก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัน

7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยชนิดของนม ขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กทีกำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนยเพื่อมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล

การกินเพื่อสุขภาพมีหลากหลายวิธี อยู่ที่ใครจะเลือกปฏิบัติแบบใด แต่หลักง่ายๆ คือทานอาหารให้ครบ5 หมู่ ครบทุกมื้อ แต่เลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อารมณ์ที่สดใส และห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ อ.กัญชลี ให้คำแนะนำทิ้งท้าย
ขอขอบคุณข้อมูล จาก www.newswit.com 

ทำไมกินน้ำเย็นถึงไม่ดี ?

ทำไมกินน้ำเย็นถึงไม่ดี ?PDFPrintE-mail
Written by Administrator   
Friday, 08 June 2012 09:24

ทำไมกินน้ำเย็นถึงไม่ดี ?
"ทำไมการดื่มน้ำเย็นถึงเป็นอันตราย"
แก้วใส่น้ำเย็น
อากาศเมืองไทยมันร้อนเนอะ เวลาทานข้าวก็ข้าวก็อยากจะทานน้ำเย็นๆ เพื่อดับกระหาย แต่การดื่มน้ำเย็นมันก็มีผลเสียต่อร่างกายจริงๆสาเหตุหลักๆก็เพราะ ร่างกายของคนเรามีอุณหภูิมิที่เหมาะสมอยู่ที่ 32 องศาเซลเซียส แต่น้ำเย็นอุณภูมิมันต้องต่ำกว่า 32 องศาแน่ๆ ไม่งั้นเราคงไม่รู้สึกเย็นหรอก

ทีนี้ในนระบบการย่อยอาหารของคนเราเนี่ย จะมีการหลั่งสารคัดหลั่งออกมาจำพวกเอ็นไซม์เพื่อย่อยอาหาร ซึ่งสารเหล่าเนี่ยะ มันออกแบบออกมาให้ทำงานได้ดีกับอุณหภูมิปกติของร่างกายของเรา ซึ่งอุณหภูมิต่ำๆเนี่ย มันดันไปลด activity(การทำงาน)ของเอนไซม์ที่จะมาย่อยอาหารเหล่านี้ทำให้การย่อยไม่ดี นอกจากนี้ในระบบทางเดินอาหารของเราเนี่ยยังประกอบด้วยกล้ามเนื้อต่างๆอีกด้วย กล้ามเนื้อพวกนี้ถ้าได้รับความเย็นจากน้ำเย็นๆก็จะทำให้เกิดอาการชา (เหมือนเวลาหน้าหนาวที่อากาศหนาวจัดๆปลายนิ้วมือนิ้วเท้าจะชาๆ จากความเย็น)และทำให้เกิดการบีบตัว คลุกเคล้าอาหารที่จะทำการย่อยได้ไม่ดีก็เป็นปัญหาในระบบทางเดินอาหารอีกเช่นกัน

ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ ระบบการย่อยไม่ดี และอาจทำให้เกิดเป็นโรคกรดไหลย้อนได้อีกด้วย

ดังนั้น พวกเราทั้งหลาย ก็ดื่มน้ำเย็นให้มันน้อยๆลงซักนิด เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ผมก็กินน้ำเย็นอยู่บ้างนะ ของอย่างงี้มันห้ามกันยากเนอะ เอาเป็นว่าคราวหน้าผมจะมาอัพเืดทบทความใหม่ๆ บ่อยๆนะครับ ขอบคุณที่ติดตามกันทุกคนครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://thaiwellness.blogspot.com

พาราเซตามอล ยาสามัญที่ต้องระวัง

พาราเซตามอล ยาสามัญที่ต้องระวังPDFPrintE-mail
Written by Administrator   
Monday, 10 September 2012 09:06
รูปเม็ดยา
พาราเซตามอล ยาสามัญที่ต้องระวัง
โดย แพทย์หญิง ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ และโภชนวิทยาทางคลินิก โรงพยาบาลบีเอ็นเอช


พาราเซตามอลเป็นยาแก้ปวด และลดไข้ที่คนไทยนิยมใช้กันมากที่สุด เนื่องจากเชื่อว่าปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง จริงอยู่ที่พาราเซตามอลมีข้อดีที่ไม่ระคายเคืองกระเพาะ แต่แท้จริงแล้วพาราเซตามอลมีผลข้างเคียงที่อันตรายที่สุด คือ การเกิดพิษต่อตับ หากใช้เกินขนาดหรือใช้ติดต่อกันนานเกินไป 
ภาวะเป็นพิษต่อตับจากยาพาราเซตามอลนั้น เกิดได้ทั้งจากความตั้งใจรับประทานยาเกินขนาดเพื่อทำร้ายตัวเอง ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าการรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดตับอักเสบเฉียบพลัน และเกิดภาวะตับวาย ซึ่งอาการอาจรุนแรงถึงขั้นต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนตับ หรือเสียชีวิต หากไปรับการรักษาไม่ทันท่วงที 

ส่วนผู้ป่วยกลุ่มที่เกิดภาวะเป็นพิษต่อตับโดยความไม่ตั้งใจนั้น พบได้บ่อยในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยส่วนหนึ่งไม่ทราบว่า กำลังทำร้ายตัวเองด้วยการรับประทานยาแก้ปวดที่มีผลทำร้ายตับต่อเนื่องเป็นเวลานาน การรับประทานยาพาราเซตามอลเป็นเวลานาน แม้ว่าจะรับประทานไม่เกินขนาดที่แนะนำ แต่ถ้ารับประทานต่อเนื่องเป็นเวลานานก็มีโอกาสที่จะเกิดตับอักเสบได้เช่นเดียวกันซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะไปรับการรักษาช้า เนื่องจากไม่ตระหนักถึงพิษภัยที่อาจเกิดขึ้นได้จากการรับประทานยาพาราเซตามอลเป็นเวลานาน
รูปแผงยา
เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2554 องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. Food and Drug Administration หรือ USFDA) ได้ออกประกาศให้บริษัทยาที่ผลิตยาแก้ปวดสูตรผสมที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ ให้ลดปริมาณยาพาราเซตามอลลงจากเดิม จากขนาด 500 มิลลิกรัมต่อเม็ดเป็น 325 มิลลิกรัมต่อเม็ด เพื่อลดความเสี่ยงของผู้บริโภคในการที่จะได้รับปริมาณยาพาราเซตามอลเกินขนาดและลดความเสี่ยงที่จะเกิดพิษต่อตับ นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้ระบุถึงผลข้างเคียงของยาพาราเซตามอล ที่ฉลากยาให้ชัดเจนว่า "ยามีผลทำให้เกิดพิษต่อตับอย่างรุนแรงได้" นอกเหนือจากผลข้างเคียงอื่นที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการแพ้ยาหรือผื่นคัน 

แม้ว่ายาพาราเซตามอลจะเป็นยาแก้ปวดลดไข้ที่มีประโยชน์ แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ จึงต้องระมัดระวังในการใช้ยา และหากอาการไม่ดีขึ้นหลังรับประทานยา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุเสมอ
รูปเม็ดยา
ข้อควรระวังที่ควรทราบเกี่ยวกับยาพาราเซตามอล คือ ไม่ควรรับประทานเป็นประจำต่อเนื่องเป็นเวลานาน และไม่ควรรับประทานยาพาราเซตามอลเกินวันละ 4 กรัม ในประเทศไทยซึ่งยามักจะอยู่ในรูปแบบเม็ดละ 500 มิลลิกรัม คือ รับประทานได้ไม่เกิน 8 เม็ดต่อวัน และไม่เกิน 1-2 เม็ดต่อครั้ง (ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 50 กิโลกรัมควรรับประทานพาราเซตามอลครั้งละ 1 เม็ดเท่านั้น) 

นอกจากนี้ไม่ควรดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ขณะที่รับประทานยาพาราเซตามอล ส่วนผู้ป่วยที่มีโรคตับเรื้อรัง ตับแข็ง หรือดื่มสุราเป็นประจำจะมีความเสี่ยงในการเกิดพิษต่อตับง่ายกว่าคนปกติ จึงควรงดเว้นการรับประทานพาราเซตามอล หรือหากจำเป็นจริง ๆ ก็ควรรับประทานให้น้อยที่สุด 

ข้อควรระวังอีกอย่างคือ มียาสูตรผสมเป็นจำนวนมากที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เช่น ยาแก้ไข้หวัด ยาแก้ปวดเมื่อย ยาคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งยาสูตรผสมเหล่านี้ หากนำมารับประทานร่วมกันโดยไม่ทราบว่ามีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เช่น รับประทานยาแก้ไข้หวัดพร้อม ๆ กับยาคลายกล้ามเนื้อ จะทำให้ได้รับยาเกินขนาด และเกิดตับอักเสบ หรือตับวายเฉียบพลันได้ ดังนั้น ก่อนรับประทานยาทุกชนิดจึงควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดเสมอ ถ้าไม่แน่ใจว่ายามีส่วนประกอบของพาราเซตามอลหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนบริโภคยาทุกครั้ง

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.kapook.com

อาหารกับอาการเพลียเรื้อรัง

อาหารกับอาการเพลียเรื้อรังPDFPrintE-mail
Written by Administrator   
Tuesday, 06 November 2012 09:53
คุณเคยมีอาการเหล่านี้หรือไม่? 

เหนื่อยเป็นประจำ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง มีความรู้สึกซึมเศร้า แม้ว่าจะนอนมาทั้งคืนแล้วก็ยังไม่หาย อาการเป็นๆ หายๆ แต่จะเป็นมากกว่าหาย จนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
รูปภาพคนนอน
อาการเหล่านี้อาจมาจากสาเหตุของอาการเพลียเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome : CFS) ที่เกิดจากความผิดปกติจากระบบกลไกของร่างกาย โดยปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถหาระบุสาเหตุได้แน่ชัด เมื่อเป็นโรคนี้จะส่งผลให้เกิดความอ่อนล้า เหนื่อยง่าย จนกลายเป็นอาการเรื้อรัง อาการนี้สามารถเกิดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางการศึกษาระบุสาเหตุว่าอาจเกิดจากการที่มีโรคเรื้อรังอื่นมาก่อนและทำให้ ร่างกายเกิดกลไกสร้างความเครียดให้กับร่างกาย หรือบางการศึกษาระบุว่าเป็นเรื่องของจิตใจที่ไม่สามารถควบคุมได้

อาการของโรคเพลียเรื้อรัง
- มีอาการอ่อนเพลียที่เป็นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 3 เดือนสำหรับเด็กหรือวัยรุ่น และมากกว่า 4 เดือนขึ้นไปสำหรับวัยผู้ใหญ่
- นอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ ฝันร้าย หรือตื่นมาตอนดึกและไม่สามารถนอนต่อได้ เป็นประจำ
- ปวดกล้ามเนื้อ หรือเมื่อยล้าบริเวณกล้ามเนื้อโดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่า
- ปวดหัว
- ไม่มีสมาธิ
- ความจำแย่ลง
- อาหารไม่ย่อย มีลมในกระเพาะอาหารเป็นประจำ
- แพ้อาหารที่ไม่เคยแพ้มาก่อน เช่น ข้าว ขนมปัง ไข่ ถั่วเหลือง โดยอาการแพ้อาจแสดงออกเช่น คลื่นไส้ มีผื่นขึ้นตามตัว ท้องเสียเป็นต้น
- อยากกินของหวาน ขนมหวาน น้ำตาลอยู่เป็นประจำ

แม้ว่ายังไม่มีอาหารที่สามารถช่วยรักษาอาการเพลียเรื้อรังให้หายขาด ได้ แต่การรับประทานอาหารที่ถูกต้องสามารถช่วยลดอาการเพลียเรื้อรังได้ ช่วยให้มีความรู้สึกที่สดชื่นขึ้น และช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายทำให้ลดการเกิดโรคแทรกซ้อนอย่างอื่น ตามมา

อาหารที่ควรรับประทาน

- รับประทานอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรตในทุกมื้ออาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ต เผือก มัน ข้าวโพด มันฝรั่งทั้งเปลือก ขนมปังโฮลวีต ธัญพืชไม่ขัดสี เหตุผลที่เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพราะจะมีค่าของดัชนีน้ำตาลต่ำทำให้ร่างกายค่อยๆ ได้รับน้ำตาล และช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ทำให้ลดอาการต่างๆ ลงได้

- รับประทานผักผลไม้ทุกวันโดยพยายามให้ได้ผักทุกมื้ออาหาร มื้อ ละอย่างน้อย 1 ทัพพี และผลไม้ 3-5 ส่วน (1 ส่วนเช่น ส้มเขียวหวาน 1 ลูก ชมพู่ 2 ลูก แอปเปิ้ลเล็ก 1 ลูก ฝรั่ง ½ ผล มะละกอสุก 6 ชิ้น กล้วย 1 ลูก) ผักและผลไม้เป็นแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์และมีสารพฤกษาเคมีที่ช่วยเร่ง ให้ร่างกายต่อสู้กับอาการเพลียเรื้อรังรวมทั้งอาการข้างเคียง

- รับประทานโปรตีนให้เพียงพอและเลือกโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เนื่อง จากร่างกายประกอบด้วยโปรตีนประมาณ 20% ของทั้งร่างกาย และโปรตีนยังมีความสำคัญต่อการสร้างฮอร์โมน เอนไซม์ และแอนติบอดีของร่างกาย จากงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ขาดโปรตีนในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาของอาการเพลียเรื้อรังจะมีอาการที่หนัก มากกว่าผู้ที่ได้รับโปรตีนเพียงพอ เช่นผู้ที่ขาดโปรตีนจะมีอาการปวดของกล้ามเนื้อคอและหลังมากกว่าผู้ที่ได้รับ โปรตีนเพียงพอ

- โกโก้และดาร์กช็อกโกแลตในปริมาณเล็กน้อยต่อวัน จากการศึกษาพบว่า สารโพลีฟีนอลที่มีอยู่ในโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตจะทำให้ร่างกายผ่อนคลายและลด ความเครียด (แต่เนื่องจากโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตมีคาเฟอีนอยู่ด้วยจึงไม่ควรรับประทานใน ปริมาณมาก)

- ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้ว (เน้น ทีน้ำเปล่าหรือน้ำสมุนไพรที่ไม่มีการเติมน้ำตาล) การที่ร่างกายขาดน้ำจะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย และปวดหัวได้ง่ายอยู่แล้ว ยิ่งในผู้ที่มีปัญหาอาการเพลียเรื้อรังหากขาดน้ำอาการจะแย่ลง

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารที่ให้ไขมันสูง เช่น อาหารทอดน้ำมัน อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีน้ำตาลสูง
- อาหารที่มีการส่วนผสมของผงชูรส
- อาหารหวานจัด อาหารเชื่อม
- อาหารรสเค็มจัด
- อาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เนื่องจากรบกวนการทำงานของระบบประสาททำให้ร่างกายตื่นตัวและอาจทำให้รู้สึก อ่อนเพลียมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้บางการศึกษาระบุว่าเครื่องดื่มกาเฟอีนมีผลต่อการนอนหลับพักผ่อนทำ ให้นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท


ขอบคุณภาพจาก sparkingspur.comขอบคุณข้อมูลจาก ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล (http://www.meesara.com)

นอนอย่างไร? จะทำสมองใสยามเช้า

นอนอย่างไร? จะทำสมองใสยามเช้าPDFPrintE-mail
Written by Administrator   
Friday, 27 July 2012 11:05

เคล็ดลับการนอน นอนอย่างไร จะทำสมองใสยามเช้า



รูปคนกำลังตื่นนอน


หนุ่ม-สาววัยใสที่มักมีอาการสมองตื้อ ระหว่างวันความคิดแล่นช้า ขณะเดียวกัน ยังมีอารมณ์ขุ่นมัวร่วมด้วย ลองรีสตาร์ท (Restart) ระบบร่างกายตั้งแต่ก่อนนอน ด้วย “5 เคล็ดลับ” ต่อไปนี้
เริ่มจากอาบน้ำอุ่นก่อนนอน จะทำให้อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้น ระหว่างนั้น อาจหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ปริมาณเล็กน้อยลงอ่างน้ำ ซึ่งมีคุณสมบัติระงับประสาทให้รู้สึกสงบ และผ่อนคลาย ทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ ทั้งยังช่วยคลายอาการตึงตัวของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ด้วย
เลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้หลับไม่ลง อย่าง คาเฟอีน นิโคติน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารรสหวาน จากกาแฟ, ชา, โคล่า, โกโก้, ช็อคโกแลต สูบบุหรี่ รวมทั้งไม่รับประทานมื้อหนักก่อนนอนอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง หากหิวควรทานนมอุ่น ๆ ดีกว่า
ชั่วโมงก่อนนอนไม่ควรออกกำลัง เพราะมีผลกระตุ้นกล้ามเนื้อ โดยร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ทำให้หลับยาก ทั้งนี้ การออกกำลังกายช่วงเช้า หรือเย็น ประมาณ 1-2 ชั่วโมงต่อวัน จะช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินสารเคมีที่สร้างจากสมอง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
ทั้งนี้ จากรายงานของหน่วยงานที่ศึกษาด้านการนอนหลับ ของสหรัฐฯ พบว่า การสัมผัสกับแสงไฟนีออนยามนอน ส่งผลต่อคุณภาพการหลับลดลง โดยแสงดังกล่าว จะไปกดการทำงานของเมลาโทนินฮอร์โมนตามธรรมชาติ ซึ่งควบคุมการนอนหลับ ดังนั้น ไม่ควรเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืน
เมื่อตื่นนอนตอนเช้า ใช้เวลา 5 นาทีออกไปรับลม และแสงนอกระเบียง หรือหน้าต่าง จะกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น อารมณ์แจ่มใส สมองตื่นตัว เพียงเท่านี้ก็บอกลาอาการง่วงซึมระหว่างวันได้แล้ว แนะนำวัยเรียนลองไปพิสูจน์กันดู.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :: หนังสือพิมพ์สยามดารา